โรค Ehrlichiosis เป็นโรคที่เกิดจากเห็บเป็นพาหะนำเชื้อโรค โดยมี เชื้อ Ehrlichia canis (canis) เป็นต้นเหตุของโรคนี้ที่สำคัญที่สุด ภายหลังจากการฟักตัวนาน 1-3 อาทิตย์แล้วอาจมีขั้นตอนการเกิดโรคดังนี้
- แบบเฉียบพลัน เชื้อโรคกระจายตัวจากจุดที่ถูกกัดตรงไปยัง ม้าม ตับ และต่อมน้ำเหลือง ทำให้หลอดเลือดอักเสบและส่งผลให้อายุของเกล็ดเลือดสั้นลง ทำให้ปริมาณเกล็ดเลือดลดต่ำลง เม็ดเลือดขาวมีปริมาณลดลง และเลือดจางเล็กน้อย
- แบบไม่แสดงอาการ เชื้อโรควนเวียนอยู่ในร่างกาย ขณะที่ร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเพิ่มสูงขึ้น
- แบบเรื้อรัง ก่อให้เกิดความบกพร่องของการทำงานของไขกระดูก (กดรั้งการทำงานของไขกระดูกและเกล็ดเลือด)
ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ได้แก่ การมีเลือดไหลซึมตามจุดต่างๆของร่างกาย ม้ามโต ระบบประสาท และตา
อาการของโรค
- อ่อนเพลีย ซึม เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด ไข้สูง เลือดไหลจากจมูก ปัสสาวะมีเลือดปน การหายใจติดขัด
- มีอาการทางประสาท (เดินเซ หัวสั่น) เนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ปวดที่บริเวณเบ้าตา การอักเสบของยูเวียในตา
- เดินกระเพลกอันเนื่องมาจากข้ออักเสบ
- ตับและม้ามโต
- หลอดเลือดอักเสบ
- การบวมน้ำและการคั่งของเหลวในร่างกาย
- อาเจียนและ/หรือท้องเสีย
- คันตามตัว
- ปอดบวมและไอ มีน้ำมูกน้ำตาไหล
- มีการเล็ดของโปรตีนออกทางระบบขับปัสสาวะ
- เกิดภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด
การป้องกันและการรักษา
แนะนำให้เน้นเรื่องการป้องกันเห็บกัดซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
หากสุนัขป่วยเป็นโรคนี้และได้รับการตรวจวินิจฉัยทราบผลรวดเร็วและเร่งรีบทำการรักษาทันทีก็จะสามารถช่วยชีวิตสัตว์ป่วยได้เป็นอย่างดี ภายหลังการรักษาแล้วเชื้อโรคอาจถูกกำจัดหมดไปจากร่างกาย หรืออาจหลงเหลือแฝงตัวอยู่ในร่างกายก็ได้ หากกรณียังตรวจพบภูมิคุ้มในร่างกายหลังรักษาอาจเป็นไปได้ทั้งสองกรณี คือ อาจยังมีเชื้อหลงแฝงอยู่ในร่างกาย หรือ ได้รับเชื้อโรคซ้ำอีกจากการถูกเห็บที่มีเชื้อโรคกัดซ้ำอีก และอีกกรณีคือ เชื้อหมดไปจากร่างกายแต่มีภูมิคุ้มกันหลงเหลืออยู่
การจะตัดสินใจจะทำการรักษาซ้ำใหม่อีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลการตรวจเลือดหาผลตรวจนับเม็ดเลือดทั้งหมดและผลตรวจเลือดทางเคมี ซึ่งหากผลดังกล่าวปรกติดีก็ไม่จำเป็นต้องรักษาซ้ำ เพราะภูมิคุ้มกันที่ตรวจพบมีผลบวกก็เนื่องมาจากการหลงค้างของภูมิคุ้มกันแต่เดิม อย่างไรก็ตามในกรณีผลตรวจเลือดดังกล่าวผิดปรกติโดยมีข้อบกชี้ว่ามีการติดเชื้อโรคเข้ามาใหม่ ได้แก่ ปริมาณเกล็ดเลือดต่ำ เลือดจาง เอ็นไซม์ตับสูง หรือ โปรตีนในปัสสาวะสูงกว่าปรกติ ฯลฯ เป็นต้น ก็จำเป็นต้องทำการรักษาซ้ำใหม่